หลักการของ Forex

หลักการของ Forex คือสิ่งสำคัญที่เทรดเดอร์ทุกคนต้องเข้าใจ ก่อนจะเริ่มต้นเดินทางในตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตลาด Forex นั้นทำการซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมง มีเงินหมุนเวียนมหาศาลกว่า 6 ล้านล้านดอลลาร์ต่อวัน! แม้จะดูน่าตื่นเต้น แต่ก็เต็มไปด้วยความเสี่ยงที่เทรดเดอร์มือใหม่ควรศึกษาให้ดีก่อนเริ่มลงสนาม

หลักการของ Forex

Forex 101: ทำความรู้จักตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราดที่ใหญ่ที่สุดในโลก 🌎

Forex ย่อมาจาก Foreign Exchange หรือการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เป็นตลาดการเงินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยเริ่มต้นตั้งแต่ยุค 70s หลังจากที่ระบบ Bretton Woods ล่มสลาย ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราเปลี่ยนจากระบบคงที่มาเป็นระบบลอยตัว ส่งผลให้การซื้อขายเงินตราต่างประเทศเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

ในตลาด Forex มีผู้เล่นหลากหลาย ตั้งแต่ธนาคารกลาง ธนาคารพาณิชย์ กองทุน ไปจนถึงบรรดานักลงทุนรายย่อยอย่างเรา ๆ โดยสกุลเงินหลัก ๆ ที่ใช้ในการซื้อขาย ได้แก่ ดอลลาร์สหรัฐ (USD), ยูโร (EUR), ปอนด์อังกฤษ (GBP), และเยน (JPY) ผู้เล่นเหล่านี้เข้ามาในตลาดด้วยเป้าหมายที่แตกต่างกัน บ้างก็เพื่อป้องกันความเสี่ยง บ้างก็เพื่อเก็งกำไรจากส่วนต่างของราคา

หลักการของ Forex ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่เทรดเดอร์ คือ คุณสามารถซื้อขายได้ 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ มีสภาพคล่องสูงมาก ทำให้ราคาเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ ยังมีค่าคอมมิชชั่นต่ำกว่าการเทรดตลาดหุ้น และสามารถใช้เงินลงทุนน้อยแต่ใช้ Leverage เพิ่มพลังในการซื้อขายได้ แต่ก็ต้องระวังเพราะ Leverage เป็นดาบสองคมที่อาจทำให้ขาดทุนเกินตัวได้เช่นกัน!

ความหมายและประวัติของ Forex

Forex (Foreign Exchange) หมายถึง ตลาดซื้อขายเงินตราต่างประเทศ ถือเป็นตลาดการเงินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีมูลค่าการซื้อขายต่อวันสูงถึง 6.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ! เริ่มก่อตัวขึ้นในช่วงต้นยุค 70s หลังจากที่สหรัฐฯ ประกาศยกเลิกการผูกค่าเงินดอลลาร์กับทองคำ ทำให้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราเปลี่ยนจากแบบคงที่ (Fixed Rate) มาเป็นแบบลอยตัว (Floating Rate)

หลักการของ Forex ส่งผลให้อัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินต่าง ๆ มีความผันผวนมากขึ้น ขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานในตลาด และปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ นั่นเอง ความผันผวนนี้เองที่ดึงดูดให้นักลงทุนและนักเก็งกำไรหันมาเทรด Forex กันมากขึ้น เพราะมองเห็นโอกาสในการทำกำไรจากความผันผวนของค่าเงิน

ในยุคแรก ๆ การเทรด Forex เป็นเรื่องเฉพาะกลุ่ม ผู้ที่จะเข้ามาเทรดได้ก็มีแต่ธนาคารขนาดใหญ่ กองทุน หรือองค์กรระดับชาติเท่านั้น แต่เมื่อเทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอินเทอร์เน็ต ทำให้ประตูสู่ตลาด Forex เปิดกว้างขึ้น นักลงทุนรายย่อยอย่างเราก็สามารถเข้าไปซื้อขายเงินตราผ่านโบรกเกอร์ออนไลน์ได้อย่างง่ายดาย ทำให้ทุกวันนี้ Forex เป็นตลาดที่ใครก็เทรดได้ขอแค่มีอินเทอร์เน็ตและเงินทุนเล็กน้อยเท่านั้นเอง!

ผู้เล่นหลักและบทบาทของพวกเขาในตลาด Forex

เรามาทำความรู้จักผู้เล่นหลัก ๆ และบทบาทของพวกเขากันหน่อย จะได้รู้ว่าเรากำลังเข้าไปยืนอยู่ตรงจุดไหนของสนามนี้กันแน่

  1. ธนาคารกลาง – เป็นผู้กำหนดนโยบายการเงิน ควบคุมอัตราดอกเบี้ย และอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศ เรียกได้ว่าเป็น “ผู้ควบคุมเกม” ที่มีอำนาจสูงสุดในสนาม Forex นี้เลยล่ะ! การตัดสินใจของธนาคารกลางมีผลอย่างมากต่อทิศทางค่าเงิน
  2. ธนาคารพาณิชย์ – มีบทบาทเป็นผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ คอยอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศให้แก่ลูกค้า และยังเป็นผู้เล่นที่ทำกำไรผ่านการเก็งกำไรค่าเงินด้วย โดยธนาคารใหญ่ ๆ อย่าง Citi หรือ JPMorgan นี่เองที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดนี้
  3. กองทุน – ทั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนสำรองระหว่างประเทศ เข้ามาลงทุนใน Forex เพื่อเพิ่มผลตอบแทน กระจายความเสี่ยง หรือบริหารเงินสำรอง ด้วยเม็ดเงินมหาศาล การตัดสินใจซื้อขายของกองทุนจึงสั่นสะเทือนตลาดได้ไม่น้อย
  4. ภาคธุรกิจ – บริษัทที่ทำการค้าระหว่างประเทศ เช่น Apple ที่ขายสินค้าไปทั่วโลก ก็ต้องเข้ามาแลกเปลี่ยนเงินตราผ่านตลาด Forex ด้วยเช่นกัน แต่จะเน้นไปเพื่อการชำระค่าสินค้ามากกว่ามาเก็งกำไร
  5. นักลงทุนรายย่อย – เช่นเราๆ ท่านๆ นี่แหละ ที่สามารถเข้าถึงตลาด Forex ผ่านโบรกเกอร์ออนไลน์ เพื่อเก็งกำไรจากความผันผวนของค่าเงิน โดยเม็ดเงินของรายย่อยอาจเล็กเมื่อเทียบกับผู้เล่นรายใหญ่ แต่ก็มีส่วนช่วยสร้างสภาพคล่องให้กับตลาด

ต่อให้เป็นผู้เล่นเล็กๆ อย่างเรา แต่ถ้าติดอาวุธด้วยความรู้ ประสบการณ์ และมีวินัยในการลงทุน ก็สามารถใช้ประโยชน์จากความผันผวนในตลาด Forex นี้เพื่อสร้างผลกำไรได้เช่นกันนะ อย่ามองข้ามตัวเองล่ะ!

หลักการของ Forex ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่เทรดเดอร์

หลักการของ Forex หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไม Forex ถึงดึงดูดเหล่าเทรดเดอร์จากทั่วโลกให้เข้ามาลองดวงในตลาดนี้กันนักหนา? มาดูเหตุผลที่ทำให้ Forex กลายเป็นตลาดการเงินที่ฮ็อตฮิตที่สุดกันเลย!

  1. ตลาดเปิด 24 ชั่วโมง – Forex เป็นตลาดที่ไม่หลับไม่นอน ซื้อขายกันยาวตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ จะดึกดื่นเที่ยงคืนหรือเช้ามืดยังไง ก็สามารถเปิดออเดอร์เทรดได้ตลอด ไม่ต้องรอให้ตลาดเปิดเหมือนหุ้น เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ที่อยากจะเทรดตอนไหนก็ได้
  2. คู่สกุลเงินให้เลือกเพียบ – ในตลาด Forex มีสกุลเงินให้เลือกเทรดหลากหลายคู่ ทั้งคู่เงินหลักอย่าง EUR/USD, GBP/USD, USD/JPY ไปจนถึงคู่เงินรองอย่าง USD/THB, EUR/TRY ที่มีความผันผวนสูง โอกาสทำกำไรมีมากมาย สามารถเลือกคู่ที่ถนัดและเข้าใจลักษณะการเคลื่อนไหวของมันได้
  3. ค่าคอมมิชชั่นต่ำ – ในตลาด Forex ส่วนใหญ่จะไม่มีค่าคอมมิชชั่น แต่จะคิดค่าธรรมเนียมผ่าน Spread แทน ซึ่ง Spread ของ Forex ก็ถือว่าค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับตลาดอื่น ๆ ทำให้ต้นทุนในการเทรดไม่สูงมาก จึงเป็นที่ดึงดูดเทรดเดอร์รายย่อยที่มีทุนจำกัด
  4. ตลาดมีสภาพคล่องสูง – ด้วยปริมาณการซื้อขายมหาศาลต่อวัน ทำให้ Forex เป็นตลาดที่มีสภาพคล่องสูงมาก หมายความว่าคุณสามารถซื้อหรือขายได้ในราคาที่ต้องการและในปริมาณที่ต้องการ โดยไม่กระทบราคามากนัก ไม่เหมือนตลาดหุ้นที่บางตัวสภาพคล่องต่ำ ถ้าซื้อขายปริมาณเยอะอาจทำให้ราคาผันผวนแรงได้
  5. ใช้เงินลงทุนน้อยได้ ด้วยการเทรดแบบ Leverage – Leverage เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การเทรด Forex น่าตื่นเต้น เพราะเราสามารถใช้เงินจำนวนน้อย เพื่อลงทุนในปริมาณที่มากกว่าเงินทุนที่มี หากคาดการณ์ทิศทางถูกต้องก็ทำกำไรมากขึ้นเป็นทวีคูณ แต่ต้องระวัง หากเทรดผิดทาง กำไรก็จะกลายเป็นขาดทุนทวีคูณเช่นกัน ต้องเทรดอย่างมีวินัยและบริหารความเสี่ยงให้ดีล่ะ

เห็นแบบนี้แล้ว เข้าใจแล้วใช่มั้ยล่ะว่าทำไม หลักการของ Forex ถึงกลายเป็นแหล่งทำเงินสุดฮิตของเทรดเดอร์ทั่วโลก? แต่ถึงจะน่าตื่นเต้นยังไงก็อย่าลืมศึกษาให้ดีก่อนลงสนามจริงล่ะ เพราะมีทั้งโอกาสและความเสี่ยงรออยู่ตรงหน้า เอาเป็นว่าติดอาวุธความรู้ให้พร้อม แล้วมาร่วมผจญภัยในตลาด Forex ด้วยกันนะ!

จับคู่เงินยอดนิยมใน Forex: หาคู่ที่ใช่และเข้าใจพฤติกรรมของมัน

หลักการของ Forex เราไม่ได้เทรดสกุลเงินเดี่ยว ๆ แต่จะเทรดเป็นคู่สกุลเงิน เช่น EUR/USD, GBP/JPY, USD/CAD เป็นต้น โดยสกุลเงินด้านซ้าย (base currency) คือสกุลเงินหลัก และสกุลเงินด้านขวา (quote currency) คือสกุลเงินอ้างอิงว่า 1 หน่วยเงินหลักนั้นมีค่าเท่ากับเงินอ้างอิงกี่หน่วย

โดย หลักการของ Forex การเลือกคู่สกุลเงินที่จะเทรดนั้นสำคัญมาก เพราะแต่ละคู่ก็จะมีลักษณะเฉพาะและความผันผวนที่แตกต่างกัน วันนี้เรามาดูคู่เงินยอดฮิตกัน 7 คู่ ที่นิยมเทรดกันในหมู่เทรดเดอร์ Forex ทั่วโลกกัน จะมีคู่ไหนบ้างนั้น เชิญติดตามได้เลย!

  1. EUR/USD 🇪🇺🇺🇸 – คู่เงินที่ได้รับความนิยมสูงสุด เพราะเป็นการจับคู่สกุลเงินของเขตเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทั้งสหภาพยุโรปและสหรัฐฯ มีสภาพคล่องสูง Spread ต่ำ และค่อนข้างมีเสถียรภาพ จึงเหมาะสำหรับมือใหม่ที่เริ่มต้นเรียนรู้การเทรด Forex
  2. USD/JPY 🇺🇸🇯🇵 – คู่เงินมังกรน้ำ เป็นคู่ที่นิยมในเอเชีย เพราะเป็นการซื้อขายเงินดอลลาร์สหรัฐกับเงินเยนของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นสองประเทศเศรษฐกิจใหญ่ของโลก เป็นคู่ที่ค่อนข้างมีความผันผวน และมีความเชื่อมโยงกับความผันผวนในตลาดหุ้นด้วย
  3. GBP/USD 🇬🇧🇺🇸 – หรือที่เรียกว่า Cable เพราะในอดีตมีการส่งข้อมูลราคาทองคำผ่านสายเคเบิลใต้ทะเลระหว่างอังกฤษและอเมริกา คู่เงินนี้ก็เป็นอีกหนึ่งคู่ยอดนิยมเพราะทั้งสองประเทศเป็นเศรษฐกิจชั้นนำของโลก คู่เงินนี้มีความผันผวนสูงกว่า EUR/USD
  4. USD/CHF 🇺🇸🇨🇭 – รู้จักกันในนาม Swissy เพราะเกี่ยวข้องกับสกุลเงินฟรังก์สวิส เป็นคู่ที่ค่อนข้างนิ่งเพราะเงินสวิสถือเป็นสกุลเงินปลอดภัย (Safe Haven) ที่ไหลเข้าประเทศเวลาเกิดวิกฤต และมีความสัมพันธ์ค่อนข้างแนบแน่นกับยูโรด้วย
  5. AUD/USD 🇦🇺🇺🇸 – หรือ Aussie เกี่ยวกับดอลลาร์ออสเตรเลีย ประเทศที่ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์สำคัญ ๆ อย่างทองคำ และแร่เหล็ก ทำให้ค่าเงินออสซี่มักผันผวนตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ด้วย
  6. USD/CAD 🇺🇸🇨🇦 – หรือ Loonie เกี่ยวกับดอลลาร์แคนาดา แคนาดาเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันรายใหญ่ ดังนั้นค่าเงินแคนาดามักจะขึ้นลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลกนั่นเอง
  7. NZD/USD 🇳🇿🇺🇸 – หรือ Kiwi เกี่ยวกับดอลลาร์นิวซีแลนด์ ซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกสินค้าการเกษตรและนมผงรายใหญ่ ค่าเงินนิวซีแลนด์มักผันผวนไปตามราคาสินค้าเกษตร และดัชนี CPI ประเทศด้วย

หลักการของ Forex ไม่ว่าจะเลือกเทรดคู่ไหน ก็แนะนำให้ศึกษานิสัยของแต่ละคู่ให้ดี ๆ ก่อนตัดสินใจเทรดเสมอ เพื่อให้เข้าใจถึงปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบและคาดการณ์การเคลื่อนไหวได้แม่นยำยิ่งขึ้น โดยแต่ละคนอาจเลือกคู่เงินเทรดตามความถนัด บ้างก็ชอบคู่ที่ผันผวนแรง บ้างก็ชอบคู่ที่เคลื่อนไหวนิ่ง ๆ ขอแค่เราเลือกคู่ที่ใช่สำหรับเรา แล้วศึกษาข้อมูลให้ดี โอกาสประสบความสำเร็จก็ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน!

7 คู่เงินหลักและคุณสมบัติเฉพาะของแต่ละคู่

  1. EUR/USD 🇪🇺🇺🇸
  • เป็นคู่เงินที่ซื้อขายกันมากที่สุดในตลาด Forex คิดเป็นประมาณ 30% ของปริมาณการซื้อขายทั้งหมด
  • เป็นคู่ที่มีสภาพคล่องสูงมาก Spread ต่ำ จึงเป็นที่นิยมในหมู่เทรดเดอร์รายย่อย
  • ค่อนข้างมีเสถียรภาพ เพราะเป็นสกุลเงินของประเทศเศรษฐกิจหลัก แต่ก็มีความผันผวนให้เทรดในระยะสั้นได้
  1. USD/JPY 🇺🇸🇯🇵
  • เป็นคู่เงินที่เกี่ยวข้องกับเงินเยน ซึ่งมีสถานะเป็นสกุลเงินปลอดภัย (Safe Haven) ที่นักลงทุนมักซื้อยามตลาดผันผวน
  • มีความผันผวนมากกว่า EUR/USD โดยเฉพาะในช่วงเวลาซื้อขายของตลาดเอเชีย
  • มีความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นอย่าง Nikkei ด้วย หากหุ้นปรับตัวลง เงินเยนก็มักแข็งค่า
  1. GBP/USD 🇬🇧🇺🇸
  • คู่ที่เกี่ยวกับเงินปอนด์อังกฤษ เป็นคู่ที่มีความผันผวนสูงกว่า EUR/USD ราวๆ 1.5 เท่า
  • มักจะได้รับผลกระทบจากประเด็นการเมืองในสหราชอาณาจักร เช่น Brexit
  • มีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของดัชนี PMI ภาคบริการของอังกฤษ ซึ่งเป็นภาคเศรษฐกิจสำคัญ
  1. USD/CHF 🇺🇸🇨🇭
  • คู่ที่เกี่ยวข้องกับเงินฟรังก์สวิส ซึ่งก็ถือเป็นสกุลเงินปลอดภัยเช่นกัน ทำให้คู่นี้มักมีความผันผวนต่ำ
  • มักมีการเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับ EUR/USD เพราะเศรษฐกิจสวิสผูกติดกับยูโรโซนมาก
  • ได้รับผลกระทบจากการเข้าแทรกแซงค่าเงินของ SNB ธนาคารกลางสวิสด้วย
  1. AUD/USD 🇦🇺🇺🇸
  • เป็นคู่ที่เกี่ยวข้องกับเงินดอลลาร์ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นสกุลเงินที่อ่อนไหวต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เพราะออสเตรเลียเป็นประเทศผู้ส่งออกหลัก
  • จึงเป็นคู่ที่มีความผันผวนสูง และมักได้รับผลกระทบจากข่าวของจีนซึ่งเป็นคู่ค้าหลักของออสเตรเลีย
  • ราคาทองคำที่ปรับตัวขึ้นมักส่งผลให้เงินออสซี่แข็งค่าด้วย
  1. USD/CAD 🇺🇸🇨🇦
  • คู่ที่เกี่ยวข้องกับเงินดอลลาร์แคนาดา ซึ่งเป็นสกุลเงินที่ผูกติดกับราคาน้ำมัน เพราะแคนาดาเป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่
  • นอกจากราคาน้ำมันแล้ว ยังได้รับผลกระทบจากการค้าระหว่างแคนาดากับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นคู่ค้าหลักอีกด้วย
  • คู่นี้จึงมีความผันผวนสูงพอสมควร
  1. NZD/USD 🇳🇿🇺🇸
  • คู่ที่เกี่ยวข้องกับดอลลาร์นิวซีแลนด์ ซึ่งเป็นสกุลเงินที่อ่อนไหวต่อราคาสินค้าเกษตรโดยเฉพาะนมผง
  • อ่อนไหวต่อความสัมพันธ์การค้ากับจีน ประเทศคู่ค้าสำคัญ
  • นิยมเทรดร่วมกับออสซี่ เรียกว่า Aussie/Kiwi เพราะทั้งสองมีทิศทางการเคลื่อนไหวค่อนข้างสอดคล้องกัน

นี่คือคุณสมบัติเด่น ๆ ของ 7 คู่เงินหลักใน Forex ซึ่งความรู้เหล่านี้จำเป็นมากต่อการเทรด เพราะเมื่อเราเข้าใจพฤติกรรมเฉพาะของแต่ละคู่แล้ว ก็จะช่วยให้คาดการณ์ทิศทางตลาดได้แม่นยำขึ้น จับจังหวะเข้าเทรดได้เหมาะเจาะมากขึ้นนั่นเอง ดังนั้นอย่าลืมศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจเลือกคู่เงินประจำใจกันล่ะ!

สกุลเงินหลักและสกุลเงินรอง

ในตลาด Forex คู่เงินที่เราเทรดจะประกอบด้วยสองสกุลเงิน ได้แก่ “สกุลเงินหลัก” (Base Currency) และ “สกุลเงินรอง” (Quote Currency) ซึ่งเข้าใจง่าย ๆ คือ:

สกุลเงินหลัก (Base Currency)

  • คือสกุลเงินที่อยู่หน้าสุดของคู่เงิน เช่น EUR ใน EUR/USD, GBP ใน GBP/JPY
  • เป็นสกุลเงินที่เราใช้เป็นฐานในการซื้อหรือขาย
  • ถ้าเราคิดว่าสกุลเงินหลักจะแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินรอง เราก็จะซื้อ (Buy) คู่เงินนั้น
  • ในทางกลับกัน ถ้าคิดว่าสกุลเงินหลักจะอ่อนค่า เราก็จะขาย (Sell) คู่เงินนั้น

สกุลเงินรอง (Quote Currency)

  • คือสกุลเงินที่อยู่ท้ายสุดของคู่เงิน เช่น USD ใน EUR/USD, JPY ใน GBP/JPY
  • เป็นสกุลเงินที่ใช้เป็นเกณฑ์อ้างอิงในการกำหนดมูลค่าของสกุลเงินหลัก
  • ถ้าราคาคู่เงินปรับตัวสูงขึ้น แปลว่า 1 หน่วยสกุลเงินหลักจะแลกได้สกุลเงินรองมากขึ้น สกุลเงินหลักก็แข็งค่าขึ้นนั่นเอง
  • ในทางกลับกัน ถ้าราคาคู่เงินปรับตัวลดลง แสดงว่าสกุลเงินหลักอ่อนค่าลง เพราะแลกได้สกุลเงินรองน้อยลง

โดยทั่วไป สกุลเงินหลักของคู่เงินมักจะเป็นสกุลเงินที่มีการซื้อขายกันมากที่สุด ได้แก่:

  1. ดอลลาร์สหรัฐ (USD) 🇺🇸
  2. ยูโร (EUR) 🇪🇺
  3. ปอนด์อังกฤษ (GBP) 🇬🇧
  4. เยน (JPY) 🇯🇵
  5. ดอลลาร์แคนาดา (CAD) 🇨🇦
  6. ดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) 🇦🇺
  7. ฟรังก์สวิส (CHF) 🇨🇭
  8. ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) 🇳🇿

ส่วนสกุลเงินรองนั้น ถ้าไม่ใช่สกุลดังกล่าว ก็มักจะเป็นสกุลเงินของประเทศกำลังพัฒนาหรือตลาดเกิดใหม่ เช่น

  • ดอลลาร์ฮ่องกง (HKD) 🇭🇰
  • ริงกิตมาเลเซีย (MYR) 🇲🇾
  • รูเบิลรัสเซีย (RUB) 🇷🇺
  • แรนด์แอฟริกาใต้ (ZAR) 🇿🇦

ดังนั้น การทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างสกุลเงินหลักและสกุลเงินรองจึงเป็นพื้นฐานสำคัญของการเทรด Forex หากเราสามารถคาดการณ์ได้ว่าสกุลเงินไหนจะแข็งค่าหรืออ่อนค่ากว่ากัน เราก็จะสามารถวางแผนการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และนั่นจะเป็นก้าวแรกสู่ความสำเร็จในการเทรด Forex นั่นเอง!

ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความผันผวนของแต่ละคู่เงิน

ในตลาด Forex คู่เงินที่เราเทรดจะประกอบด้วยสองสกุลเงิน ได้แก่ “สกุลเงินหลัก” (Base Currency) และ “สกุลเงินรอง” (Quote Currency) ซึ่งเข้าใจง่าย ๆ คือ:

สกุลเงินหลัก (Base Currency)

  • คือสกุลเงินที่อยู่หน้าสุดของคู่เงิน เช่น EUR ใน EUR/USD, GBP ใน GBP/JPY
  • เป็นสกุลเงินที่เราใช้เป็นฐานในการซื้อหรือขาย
  • ถ้าเราคิดว่าสกุลเงินหลักจะแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินรอง เราก็จะซื้อ (Buy) คู่เงินนั้น
  • ในทางกลับกัน ถ้าคิดว่าสกุลเงินหลักจะอ่อนค่า เราก็จะขาย (Sell) คู่เงินนั้น

สกุลเงินรอง (Quote Currency)

  • คือสกุลเงินที่อยู่ท้ายสุดของคู่เงิน เช่น USD ใน EUR/USD, JPY ใน GBP/JPY
  • เป็นสกุลเงินที่ใช้เป็นเกณฑ์อ้างอิงในการกำหนดมูลค่าของสกุลเงินหลัก
  • ถ้าราคาคู่เงินปรับตัวสูงขึ้น แปลว่า 1 หน่วยสกุลเงินหลักจะแลกได้สกุลเงินรองมากขึ้น สกุลเงินหลักก็แข็งค่าขึ้นนั่นเอง
  • ในทางกลับกัน ถ้าราคาคู่เงินปรับตัวลดลง แสดงว่าสกุลเงินหลักอ่อนค่าลง เพราะแลกได้สกุลเงินรองน้อยลง

โดยทั่วไป สกุลเงินหลักของคู่เงินมักจะเป็นสกุลเงินที่มีการซื้อขายกันมากที่สุด ได้แก่:

  1. ดอลลาร์สหรัฐ (USD) 🇺🇸
  2. ยูโร (EUR) 🇪🇺
  3. ปอนด์อังกฤษ (GBP) 🇬🇧
  4. เยน (JPY) 🇯🇵
  5. ดอลลาร์แคนาดา (CAD) 🇨🇦
  6. ดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) 🇦🇺
  7. ฟรังก์สวิส (CHF) 🇨🇭
  8. ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) 🇳🇿

ส่วนสกุลเงินรองนั้น ถ้าไม่ใช่สกุลดังกล่าว ก็มักจะเป็นสกุลเงินของประเทศกำลังพัฒนาหรือตลาดเกิดใหม่ เช่น

  • ดอลลาร์ฮ่องกง (HKD) 🇭🇰
  • ริงกิตมาเลเซีย (MYR) 🇲🇾
  • รูเบิลรัสเซีย (RUB) 🇷🇺
  • แรนด์แอฟริกาใต้ (ZAR) 🇿🇦

ดังนั้น การทำความเข้าใจหลักการของ Forex จึงเป็นพื้นฐานสำคัญของการเทรด Forex หากเราสามารถคาดการณ์ได้ว่าสกุลเงินไหนจะแข็งค่าหรืออ่อนค่ากว่ากัน เราก็จะสามารถวางแผนการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และนั่นจะเป็นก้าวแรกสู่ความสำเร็จในการเทรด Forex นั่นเอง! Copy

F

ขอเนื้อหา ·         ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความผันผวนของแต่ละคู่เงิน

· ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความผันผวนของแต่ละคู่เงิน

ความผันผวนของคู่เงินใน Forex นั้นไม่ได้เกิดขึ้นลอย ๆ แต่มักมีปัจจัยสำคัญที่คอยขับเคลื่อนอยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทางเศรษฐกิจ การเมือง หรือความผูกพันธ์กับสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะแตกต่างกันไปในแต่ละคู่เงิน วันนี้เรามาดูกันว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ควรจับตามองเป็นพิเศษสำหรับแต่ละคู่เงินหลัก ๆ

  1. EUR/USD 🇪🇺🇺🇸
    • ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ และยูโรโซน เช่น GDP, อัตราเงินเฟ้อ, การจ้างงาน
    • การประชุมและการตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยของ Fed และ ECB
    • ความเสี่ยงทางการเมืองในยูโรโซน เช่น Brexit, ปัญหาหนี้ของประเทศสมาชิก
  2. USD/JPY 🇺🇸🇯🇵
    • ข้อมูลภาคการผลิตและการส่งออกของญี่ปุ่น
    • ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นเอเชีย โดยเฉพาะ Nikkei
    • ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ในเอเชีย เช่น ความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี
  3. GBP/USD 🇬🇧🇺🇸
    • ข่าวเกี่ยวกับ Brexit และความสัมพันธ์ระหว่างสหราชอาณาจักรกับ EU
    • ข้อมูล PMI ภาคบริการของสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นภาคเศรษฐกิจหลัก
    • นโยบายของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) เกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย
  4. USD/CHF 🇺🇸🇨🇭
    • การเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโร เพราะเศรษฐกิจสวิสผูกติดกับยูโรโซน
    • การเข้าแทรกแซงตลาดของธนาคารกลางสวิส (SNB)
    • ข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และอัตราเงินเฟ้อของสวิส
  5. AUD/USD 🇦🇺🇺🇸
    • ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะทองคำและเหล็ก ซึ่งออสเตรเลียเป็นผู้ส่งออกหลัก
    • ข้อมูลเศรษฐกิจของจีน ประเทศคู่ค้าสำคัญของออสเตรเลีย
    • ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจและผู้บริโภคของออสเตรเลีย
  6. USD/CAD 🇺🇸🇨🇦
    • ความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบ เพราะแคนาดาเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่
    • ข้อมูลการจ้างงานและ GDP ของแคนาดา
    • ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างแคนาดากับสหรัฐฯ
  7. NZD/USD 🇳🇿🇺🇸
    • ราคาสินค้าเกษตร โดยเฉพาะนมผง ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักของนิวซีแลนด์
    • ความเชื่อมั่นทางธุรกิจและภาคการผลิตของนิวซีแลนด์
    • อัตราเงินเฟ้อและนโยบายของธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ)

เห็นได้ว่าแต่ละคู่เงินล้วนได้รับอิทธิพลจากหลากหลายปัจจัย บางปัจจัยอาจส่งผลเฉพาะต่อบางคู่เงิน ในขณะที่บางปัจจัย เช่น ความเสี่ยงทางการเมือง อาจกระทบวงกว้างไปหลายคู่เงิน ดังนั้นสิ่งสำคัญคือเราต้องศึกษาให้เข้าใจว่าปัจจัยใดเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของคู่เงินที่เราสนใจจะเทรด จากนั้นติดตามข่าวสารและวิเคราะห์ให้ดีว่าปัจจัยเหล่านั้นมีทิศทางหรือแนวโน้มอย่างไร แล้วค่อยวางแผนเทรดไปตามนั้น เชื่อว่าถ้าทำได้แบบนี้ คุณก็จะเทรดได้อย่างมั่นใจและรับมือกับความผันผวนได้ดียิ่งขึ้นแน่นอน!

Leverage และ Margin: หลักการของ Forex ที่จะช่วยเพิ่มกำไร (หรือขาดทุน)

หลักการของ Forex เป็นเหมือนดาบสองคมในวงการเทรด Forex ถ้าใช้เป็นก็ช่วยพลิกเกมให้เราทำกำไรงาม ๆ ได้ แต่ถ้าใช้พลาดล่ะก็ เตรียมลาก่อนบวชได้เลย! เอ๊ะ! แต่ Leverage กับ Margin คืออะไรกันล่ะ? เดี๋ยวเราไปทำความรู้จักพวกมันกัน

Leverage คือ อัตราเงินทุนที่โบรกเกอร์ยินดีให้เรากู้ยืมมาเพิ่ม เพื่อเทรดในวงเงินที่มากกว่าเงินจริงที่เรามี เช่น ถ้าเรามีเงิน 1,000 ดอลลาร์ แต่โบรกเกอร์ให้เทรดที่ Leverage 1:100 เราก็สามารถเทรดได้ถึง 100,000 ดอลลาร์เลยทีเดียว! เจ๋งใช่มั้ยล่ะ?

ส่วน Margin คือ เงินประกันขั้นต่ำที่เราต้องมีในบัญชี เพื่อรองรับมูลค่าการเทรดที่เพิ่มขึ้นจาก Leverage ยิ่ง Leverage สูง Margin ที่ต้องใช้ก็จะยิ่งต่ำ เช่น ถ้าเทรดที่ Leverage 1:100 เงินประกันที่ต้องใช้อาจจะแค่ 1% ของมูลค่าการเทรดเท่านั้น

แต่ที่ต้องระวังคือ ยิ่งเรา Leverage มาก ความเสี่ยงก็ยิ่งสูงขึ้นเช่นกัน! เพราะถ้าตลาดเคลื่อนไหวไปในทิศทางตรงข้ามกับที่เราคาด ไม่เพียงแต่กำไรจะเป็นศูนย์ แต่เรายังอาจสูญเสียเงินประกันไปจนถึงขั้นติดลบบัญชีได้เลยนะเออ

แต่ถึงจะมีความเสี่ยง Leverage ก็ยังคงเป็นเครื่องมือโปรดของเทรดเดอร์ เพราะมันช่วยให้เราใช้เงินน้อย ๆ เทรดในตลาดใหญ่ได้ กำไรที่ได้ก็เลยดูงามหยดย้อยไปเลย อย่างเช่น สมมุติเรามีเงิน 1,000 ดอลลาร์ แล้วเทรด EUR/USD ที่ Leverage 1:100 ถ้าเราคาดถูกและค่าเงินขยับไป 100 Pip เราก็จะได้กำไร 100 ดอลลาร์ (1 Pip = 10 ดอลลาร์) ถ้าเป็นการเทรดแบบไม่มี Leverage กำไรอาจจะแค่ 1 ดอลลาร์เท่านั้น เห็นมั้ยล่ะ! ต่างกันลิบลับเลย

วิธีใช้ Leverage ให้ปัง แต่ไม่พังก็คือ:

  1. เริ่มจากค่อย ๆ ใช้ Leverage ต่ำ ๆ ก่อน อย่าโลภจนลืมตัว
  2. ใช้เครื่องมือจัดการความเสี่ยง เช่น Stop Loss เพื่อป้องกันการขาดทุนเกินตัว
  3. เทรดด้วยวินัยตามแผนที่วางไว้ อย่าใจร้อนเพราะเห็นตัวเลขมาก ๆ
  4. เรียนรู้และพัฒนาทักษะการคาดการณ์ทิศทางตลาดให้แม่นยำขึ้นเรื่อย ๆ

โดยสรุป Leverage คือพลังพิเศษที่ทำให้เราเพิ่มขนาดการเทรดได้มหาศาล ส่วน Margin คือส่วนที่ต้องแลกมาเพื่อให้ได้พลังนั้น ใครจะรู้ว่าในอนาคตคุณอาจกลายเป็นฮีโร่แห่งวงการ Forex ก็ได้ แต่อย่าลืมว่าทุกอย่างมีความเสี่ยงเสมอ จะได้กำไรหรือขาดทุน ก็อยู่ที่ว่าเราควบคุมมันได้ดีแค่ไหนนั่นเอง ถ้าใช้ Leverage เป็น รวยเป็นล่ะ!

ความหมายของ Leverage และ Margin

Leverage (เลเวอเรจ) คือ อัตราส่วนการกู้ยืมเงินจากโบรกเกอร์ เพื่อเพิ่มมูลค่าการเทรดให้สูงกว่าเงินทุนจริงที่เรามี เช่น ถ้าเรามีเงินอยู่ 1,000 ดอลลาร์ และเราเทรดที่ Leverage 1:100 เราก็สามารถเปิดออเดอร์ได้ถึง 100,000 ดอลลาร์ หรือเรียกง่าย ๆ ว่าเราใช้เงิน 1 ส่วน เพื่อควบคุมเงินอีก 100 ส่วนนั่นเอง

แล้วทำไมโบรกเกอร์ถึงให้เรากู้ล่ะ? ก็เพราะเขาเห็นว่าเรามีหลักประกัน นั่นก็คือ Margin ไงล่ะ

Margin (มาร์จิ้น) คือ เงินประกันขั้นต่ำที่เราต้องมีในบัญชี เพื่อเปิดและรักษาสถานะการเทรด โดยมันจะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าการเทรดทั้งหมด เช่น ถ้าเราเทรดที่ Leverage 1:100 เปิดสถานะ 100,000 ดอลลาร์ เราอาจต้องใช้ Margin เพียง 1% หรือ 1,000 ดอลลาร์ เท่านั้น

Margin จึงเหมือนเป็นเงินมัดจำที่เราวางไว้กับโบรกเกอร์ เพื่อการันตีว่าเราพร้อมจะรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากมูลค่าการเทรดที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง ดังนั้น ยิ่งเราใช้ Leverage มาก Margin ที่ต้องใช้ก็จะยิ่งน้อยลง

Leverage กับ Margin จึงเป็นเหมือนสองด้านของเหรียญเดียวกัน เพราะมันเชื่อมโยงและส่งผลซึ่งกันและกัน อย่างเช่น ถ้าเรามี Margin 1,000 ดอลลาร์ เราสามารถเลือกเทรดที่ Leverage ได้หลายระดับ เช่น

  • ถ้าใช้ Leverage 1:50 เราจะเทรดได้ 50,000 ดอลลาร์ (1,000 x 50)
  • ถ้าใช้ Leverage 1:100 เราจะเทรดได้ 100,000 ดอลลาร์ (1,000 x 100)
  • ถ้าใช้ Leverage 1:200 เราจะเทรดได้ 200,000 ดอลลาร์ (1,000 x 200)

จะเห็นได้ว่า Leverage ยิ่งสูง พลังในการเทรดก็ยิ่งมาก กำไรที่ได้ก็จะดูงดงาม (ถ้าทายถูกทิศตลาดนะ) แต่ต้องไม่ลืมว่าความเสี่ยงก็สูงขึ้นเช่นกัน เพราะถ้าตลาดไปในทิศทางตรงกันข้าม Margin ที่เรามีอาจไม่พอรองรับความเสียหายที่เกิดขึ้น เราอาจขาดทุนจนติดลบ หรือที่เรียกว่า Margin Call ได้เลยนะ

ดังนั้น ความเข้าใจเรื่อง Leverage และ Margin จึงเป็นพื้นฐานสำคัญมากสำหรับเทรดเดอร์ Forex ต้องรู้จักประเมินความเสี่ยงและเลือกใช้ Leverage ให้เหมาะสมกับเงินทุนและความสามารถของตัวเอง อย่าโลภมากจนเสี่ยงเกินตัว เพราะการเทรดที่ดีไม่ใช่การเทรดที่ได้กำไรเยอะแต่ชั่วครั้งชั่วคราว แต่คือการเทรดที่มีกำไรอย่างสม่ำเสมอและยั่งยืนต่างหากล่ะ

วิธีคำนวณ Margin และการใช้ประโยชน์จาก Leverage

เอาล่ะ! หลังจากรู้จัก Leverage และ Margin กันไปแล้ว ถึงเวลาลงลึกในรายละเอียดกันหน่อยว่า เราจะคำนวณ Margin และใช้ประโยชน์จาก Leverage ได้ยังไงบ้าง? มาเริ่มกันเลย!

  1. วิธีคำนวณ Margin Margin = (มูลค่าสัญญา / Leverage) x 100

สมมุติเรามีบัญชี 1,000 ดอลลาร์ และต้องการเทรด EUR/USD ที่ Leverage 1:100

  • ขนาดสัญญามาตรฐานของ EUR/USD คือ 100,000 หน่วย
  • ดังนั้น Margin ที่ต้องใช้ = (100,000 / 100) x 100 = 1,000 ดอลลาร์

นั่นหมายความว่า ด้วยเงินเพียง 1,000 ดอลลาร์ เราสามารถเปิดสถานะเทรดมูลค่า 100,000 ดอลลาร์ได้เลย!

  1. การใช้ประโยชน์จาก Leverage Leverage ช่วยให้เราผลักดันผลกำไรให้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด เช่น

กรณีไม่ใช้ Leverage:

  • สมมุติเรามีเงิน 1,000 ดอลลาร์ และเทรด EUR/USD ไป 100 หน่วย (1 Lot)
  • ถ้าราคาเคลื่อนไป 100 Pips เราจะได้กำไรเพียง 10 ดอลลาร์ (1 Pip = 0.10 ดอลลาร์)

กรณีใช้ Leverage 1:100:

  • ด้วยเงินเดิม 1,000 ดอลลาร์ เราสามารถเทรด EUR/USD ได้ถึง 100,000 หน่วย (1 Lot)
  • ถ้าราคาเคลื่อนไป 100 Pips เช่นเดียวกัน เราจะได้กำไรถึง 1,000 ดอลลาร์! (1 Pip = 10 ดอลลาร์)

เห็นได้ชัดว่า Leverage สามารถพลิกเกมให้เราสร้างกำไรได้มากขึ้นเป็น 100 เท่า แม้ในสภาวะตลาดที่ผันผวนไม่มาก

อย่างไรก็ตาม การใช้ Leverage ก็เหมือนการใช้ยาอี เพิ่มพลังให้เรา แต่ถ้าใช้มากเกินขนาด มันอาจกลายเป็นยาพิษได้เช่นกัน เพราะไม่เพียงแต่จะเพิ่มกำไร แต่มันก็เพิ่มความเสี่ยงที่จะขาดทุนอย่างหนักได้เช่นกัน ดังนั้น เทรดเดอร์จึงต้องรู้จักใช้ Leverage อย่างชาญฉลาด ด้วยการ:

  • เริ่มจากใช้ Leverage ในระดับที่เรารับความเสี่ยงได้ อย่าโลภใช้เยอะเกินตัว
  • วางแผนการเทรดและคำนวณอัตราเสี่ยงต่อผลตอบแทนให้ดี
  • ตั้งระดับ Stop Loss ที่เหมาะสม เพื่อจำกัดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
  • เพิ่ม Leverage ขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป พร้อมพัฒนาความเข้าใจตลาด

สุดท้ายนี้ อย่าลืมว่า Leverage เหมือนงูเห่าที่เราต้องเลี้ยงด้วยความระมัดระวัง รู้จังหวะไหนควรปล่อยมันออกไปล่าเหยื่อ และจังหวะไหนควรขังมันเอาไว้ก่อน เพื่อไม่ให้โดนมันกัดเอาเองซะก่อน ถ้าควบคุมมันได้ มันจะพาเรารวยอย่างที่ใฝ่ฝัน แต่ถ้าควบคุมมันไม่อยู่ มันก็จะฉุดเราจนหมดตัวได้เหมือนกัน เอาเป็นว่า ก่อนจะเปิดออเดอร์ทุกครั้ง อย่าลืมคิดถึงคำพูดของโบราณที่ว่า “รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” น่าจะปลอดภัยดีนะ

ความเสี่ยงและข้อควรระวังเมื่อใช้ Leverage

หลังจากที่เราเห็นถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของ Leverage ในการขยายผลกำไรให้เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวแล้ว อย่าเพิ่งดีใจไป เพราะยังมีอีกด้านของเหรียญที่เราต้องระวัง นั่นคือความเสี่ยงที่มากขึ้นเช่นกัน! มาดูกันดีกว่าว่า Leverage นั้นมีด้านมืดอะไรบ้าง และเราควรระวังอะไรเป็นพิเศษ

  1. ความเสี่ยงต่อการขาดทุนเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ
  • เช่นเดียวกับที่ Leverage สามารถเพิ่มกำไรให้เราเป็นทวีคูณ มันก็สามารถเพิ่มการขาดทุนในแบบเดียวกัน
  • สมมุติเรามี 1,000 ดอลลาร์ และเทรด EUR/USD ด้วย Leverage 1:100 (เทรดได้ 100,000 ดอลลาร์)
  • ถ้าเราคาดผิดและราคาเคลื่อนไปในทิศทางตรงกันข้าม 100 Pips เราจะขาดทุนถึง 1,000 ดอลลาร์ หรือเท่ากับเงินทุนทั้งหมดในบัญชี!
  1. ความเสี่ยงต่อการโดน Margin Call
  • Margin Call คือสถานการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นเมื่อ Margin ในบัญชีเราไม่เพียงพอที่จะรองรับขาดทุนที่เกิดขึ้น
  • เมื่อนั้น โบรกเกอร์จะบังคับปิดสถานะที่ขาดทุนของเราทันที เพื่อป้องกันไม่ให้เราเป็นหนี้เขา
  • การโดน Margin Call นอกจากจะทำให้เราเสียเงินที่ลงทุนไปแล้ว ยังส่งผลต่อความมั่นใจในการเทรดอีกด้วย
  1. ความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด
  • ตลาด Forex มีความผันผวนสูง ราคาสามารถพลิกจากขาขึ้นเป็นขาลงได้ภายในเสี้ยววินาที
  • ยิ่งเราใช้ Leverage มากเท่าไหร่ ความผันผวนเล็ก ๆ ของตลาดก็จะยิ่งส่งผลกระทบต่อบัญชีเรามากขึ้นเท่านั้น
  • โดยเฉพาะเมื่อมีข่าวสำคัญหรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น อาจทำให้ราคาผันผวนอย่างรุนแรงและทำให้เราขาดทุนหนักได้

ดังนั้น เพื่อป้องกันตัวเองจากความเสี่ยงเหล่านี้ เราจึงต้องใช้ Leverage ด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ ด้วยการ:

  • ใช้ Leverage ในระดับพอดี ไม่สูงเกินความสามารถในการรับความเสี่ยงของเรา
  • คำนวณขนาดสัญญา (Lot) ให้เหมาะสมกับเงินทุน อย่าลงเยอะจนเสี่ยงเกินไป
  • ตั้ง Stop Loss ทุกครั้งเพื่อจำกัดการขาดทุน และอย่าเอาออกเด็ดขาด
  • อย่าเปิดสถานะไว้นานเกินไป เพราะยิ่งนานความเสี่ยงก็ยิ่งสูง
  • หาข้อมูลและวิเคราะห์ให้ดีก่อนเปิดสถานะ อย่าเทรดไปมั่ว ๆ
  • เมื่อขาดทุนก็ต้องรู้จักตัดใจ อย่าหวังจะได้คืนในครั้งเดียว เดี๋ยวจะยิ่งเจ็บ

จำไว้ว่า Leverage เป็นเหมือนอาวุธที่ทรงพลัง แต่ก็อันตรายถ้าใช้ไม่ถูกวิธี ส่วน Margin คือเหมือนเกราะป้องกันที่คอยปกป้องเราจากการขาดทุนเกินตัว เราจำเป็นต้องรักษาสมดุลระหว่างสองสิ่งนี้ให้ดี เพื่อให้การเทรดของเรามั่นคงและยั่งยืน เหมือนกับการขับรถที่เราต้องควบคุมความเร็วและรักษาระยะห่างจากคันอื่นให้พอดี ไม่งั้นเราอาจจะชนจนไม่เป็นท่าได้เหมือนกัน!

7 สิ่งที่ต้องรู้ก่อนเริ่มเทรด Forex – หลักการของ Forex

สวัสดีเทรดเดอร์มือใหม่ทุกคน! ยินดีต้อนรับสู่วงการ Forex ก่อนที่จะเริ่มออกเดินทางผจญภัยในตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลกนี้ มีอีก 7 สิ่งสำคัญที่เราอยากให้คุณเตรียมพร้อม เพื่อให้การเดินทางของคุณราบรื่นและปลอดภัยที่สุด เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า!

  1. เรียนรู้พื้นฐานให้เข้าใจ
  • ศึกษาคำศัพท์และนิยามเฉพาะต่าง ๆ ในตลาด Forex ให้เข้าใจ
  • ทำความเข้าใจกลไกตลาด เวลาเปิด-ปิดของแต่ละ Session, ความสัมพันธ์ของคู่สกุลเงินหลัก
  • ศึกษาประเภทของกราฟและวิธีอ่านกราฟราคา เพื่อให้รู้ว่าตลาดกำลังอยู่ในเทรนด์ไหน
  1. เลือกโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือ
  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าโบรกเกอร์ที่เลือกมีใบอนุญาตและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลที่ดี
  • เปรียบเทียบสเปรด ค่าคอมมิชชั่น เงินฝากขั้นต่ำ และเครื่องมือการเทรดที่แต่ละโบรกเกอร์มีให้
  • ดูรีวิวและคะแนนจากเทรดเดอร์คนอื่น ๆ เพื่อให้รู้ถึงคุณภาพการให้บริการจริง
  1. ฝึกฝนบนบัญชีเดโม่
  • เปิดบัญชีเดโม่ที่ให้เทรดด้วยเงินเสมือนจริงก่อน เพื่อทดลองเทรดโดยไม่มีความเสี่ยง
  • ใช้โอกาสนี้ในการทำความคุ้นเคยกับแพลตฟอร์มการเทรดและเครื่องมือต่าง ๆ
  • ลองผิดลองถูก ทดสอบระบบและกลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อดูว่าอะไรใช้ได้ผลบ้าง
  1. สร้างแผนการเทรด
  • กำหนดเป้าหมายในการเทรด ทั้งเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาว
  • วางแผนการจัดการเงินทุน เช่น จะใช้เงินเท่าไหร่ในแต่ละครั้ง จะรับความเสี่ยงได้มากแค่ไหน
  • เลือกสไตล์และกลยุทธ์การเทรดให้เหมาะกับบุคลิกและเป้าหมายของเรา
  1. ควบคุมอารมณ์ให้ได้
  • เตรียมใจรับมือกับความผันผวนและความไม่แน่นอนของตลาด
  • อย่าหวังผลกำไรมากเกินไป และอย่าท้อแท้เมื่อต้องเจอกับการขาดทุน
  • รู้จักยับยั้งชั่งใจ อย่าเทรดด้วยอารมณ์ชั่ววูบ เช่น โลภ กลัว โกรธ
  1. รู้จักใช้เครื่องมือวิเคราะห์
  • เรียนรู้การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) เช่น การดูแนวรับแนวต้าน, การใช้อินดิเคเตอร์ต่าง ๆ
  • ศึกษาการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) เช่น ข่าวเศรษฐกิจ, อัตราดอกเบี้ย, ดัชนี PMI
  • ใช้ทั้งสองแบบควบคู่กัน เพื่อให้การวิเคราะห์มีประสิทธิภาพสูงสุด
  1. พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ
  • ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวของตลาดอย่างสม่ำเสมอ
  • แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กับเทรดเดอร์คนอื่น ๆ ผ่านชุมชนออนไลน์
  • ยอมรับข้อผิดพลาด เรียนรู้จากมัน และพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ

เห็นมั้ยล่ะว่าการเตรียมพร้อมก่อนออกเดินทางมีประโยชน์มากแค่ไหน? ถ้าเราศึกษาและฝึกฝนอย่างจริงจัง ก็จะเหมือนเรามีแผนที่และเข็มทิศคอยนำทาง ทำให้การเดินทางในตลาด Forex เป็นไปอย่างราบรื่นและมีเป้าหมายมากขึ้น

แต่ที่สำคัญที่สุด อย่าลืมว่าการเทรดเป็นการเดินทางระยะยาว อาจจะต้องเจอกับอุปสรรคและความผิดพลาดบ้าง แต่ถ้าเรายังมุ่งมั่นเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ สักวันความสำเร็จก็จะเป็นของเราอย่างแน่นอน

ขอให้ทุกคนโชคดีและเทรดอย่างสนุกนะ! แล้วพบกันใหม่ในบทเรียนหน้า สวัสดี!

เลือกโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือและเหมาะกับคุณ

การเลือกโบรกเกอร์ที่ดีและเหมาะกับเรา เปรียบเสมือนการเลือกพาร์ทเนอร์ชั้นดีในการเดินทางครั้งสำคัญ เพราะโบรกเกอร์จะเป็นผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการเทรด คอยดูแลเงินทุนของเรา รวมถึงให้การสนับสนุนต่าง ๆ ดังนั้น เราจึงต้องเลือกให้ดี ให้เหมาะกับความต้องการและสไตล์การเทรดของเรา มาดูกันว่ามีหลักเกณฑ์อะไรบ้างที่ต้องพิจารณา

  1. ความน่าเชื่อถือและความปลอดภัย
  • ตรวจสอบว่าโบรกเกอร์มีใบอนุญาตและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานที่เชื่อถือได้ เช่น FCA ในอังกฤษ, ASIC ในออสเตรเลีย, CySEC ในยุโรป
  • มองหาโบรกเกอร์ที่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ดี เช่น การแยกบัญชีลูกค้ากับบัญชีบริษัท, การเข้ารหัสข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า
  • ดูประวัติและความน่าเชื่อถือของโบรกเกอร์ หลีกเลี่ยงโบรกเกอร์ที่เคยมีประวัติฉาวโฉ่หรือถูกร้องเรียนบ่อยครั้ง
  1. เงื่อนไขการเทรด
  • ดูสเปรดและค่าคอมมิชชั่นที่โบรกเกอร์เสนอ เลือกอันที่ดีที่สุดและคุ้มค่ากับการลงทุนของเรา
  • ตรวจสอบเงินฝากขั้นต่ำ ดูว่าเหมาะสมกับงบประมาณของเราไหม
  • ดูเรื่อง Leverage สูงสุดที่ให้ ตรงกับระดับความเสี่ยงที่เราจะรับได้ไหม
  • เช็คคู่สกุลเงินให้เทรด ดูให้แน่ใจว่ามีคู่ที่เราสนใจจะเทรดด้วย
  1. แพลตฟอร์มและเครื่องมือการเทรด
  • ลองใช้แพลตฟอร์มการเทรดของโบรกเกอร์ ดูว่าใช้งานสะดวก, เสถียร และตอบสนองได้ดีไหม
  • ดูว่ามีเครื่องมือวิเคราะห์กราฟ, อินดิเคเตอร์ และฟีเจอร์อื่น ๆ ที่เราต้องการไหม
  • ตรวจสอบว่ารองรับการเทรดบนมือถือหรือไม่ ถ้าเราต้องการความสะดวกในการเทรดนอกสถานที่
  1. การสนับสนุนและการศึกษา
  • ดูว่าโบรกเกอร์มีทีมงานบริการลูกค้าที่พร้อมช่วยเหลือเราตลอด 24 ชม.ไหม เช่น ทางโทรศัพท์ อีเมล Live Chat
  • มองหาโบรกเกอร์ที่มีแหล่งข้อมูล, บทความ, คู่มือ, วิดีโอสอนการเทรด ที่มีประโยชน์และเข้าใจง่าย
  • ดูว่ามีการจัดเวบบินาร์หรืออีเวนต์ให้ความรู้ต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอหรือไม่
  1. รีวิวและคำแนะนำจากเทรดเดอร์คนอื่น
  • ลองอ่านรีวิวและความคิดเห็นของเทรดเดอร์คนอื่น ๆ ที่เคยใช้บริการโบรกเกอร์นั้นมาแล้ว
  • ถามหาคำแนะนำจากเพื่อนหรือคนรู้จักในวงการ ว่ามีโบรกเกอร์ไหนที่เขาแนะนำบ้าง
  • เข้าไปมีส่วนร่วมในชุมชนเทรดเดอร์ออนไลน์ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์เกี่ยวกับโบรกเกอร์

เมื่อพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้อย่างครบถ้วนแล้ว ก็ลองเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของแต่ละโบรกเกอร์ และทดลองเปิดบัญชีเดโม่กับพวกเขาดู เพื่อสัมผัสบริการจริง ๆ ก่อนตัดสินใจเลือก และอย่าลืมว่าการเลือกโบรกเกอร์ไม่ใช่การแต่งงาน! ถ้าใช้ไปสักพักแล้วรู้สึกว่าไม่โอเค เราก็สามารถย้ายไปเปิดกับโบรกเกอร์อื่นได้เสมอ

สุดท้ายนี้ จงจำไว้ว่าโบรกเกอร์ที่ดีที่สุดสำหรับคนอื่น อาจไม่ใช่ที่ดีที่สุดสำหรับเรา เพราะแต่ละคนก็มีความต้องการที่แตกต่างกัน ดังนั้นเราควรใช้เวลาศึกษาข้อมูล, เปรียบเทียบตัวเลือกต่าง ๆ และเลือกสิ่งที่เหมาะกับตัวเองมากที่สุด เมื่อนั้นถึงจะเรียกได้ว่าเราพร้อมออกเดินทางไปสู่ความสำเร็จในตลาด Forex แล้วล่ะ!

เรียนรู้พื้นฐานการวิเคราะห์ทางเทคนิคและการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน

ในการเทรด Forex ให้ประสบความสำเร็จนั้น นอกจากดวงแล้ว เรายังต้องมีความรู้ในการวิเคราะห์ตลาดอย่างถ่องแท้ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) และการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) มาทำความรู้จักกับพวกเขากันหน่อย

  1. การวิเคราะห์ทางเทคนิค 📈
  • เป็นการวิเคราะห์กราฟราคา โดยดูจากรูปแบบราคาในอดีตเพื่อคาดการณ์ทิศทางราคาในอนาคต
  • เชื่อว่ากราฟราคาสะท้อนข้อมูลทุกอย่างในตลาดแล้ว และราคามักเคลื่อนไหวเป็นเทรนด์
  • ใช้เครื่องมืออย่าง แนวรับ-แนวต้าน (Support & Resistance), เส้นค่าเฉลี่ย (Moving Average), อินดิเคเตอร์ต่าง ๆ เช่น RSI, MACD เป็นต้น
  • เหมาะกับการเทรดระยะสั้นถึงระยะกลาง เช่น สแกลปิ้ง เทรดรายวัน

พื้นฐานการวิเคราะห์กราฟที่ควรรู้ ได้แก่

  • รู้จักกราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart) และส่วนประกอบต่าง ๆ ของมัน
  • รู้จักรูปแบบกราฟที่บ่งชี้ถึงการกลับตัวของราคา เช่น Double Top, Head and Shoulders
  • เรียนรู้วิธีการวาด Trendline และการหาแนวรับแนวต้านของราคา
  • ลองใช้อินดิเคเตอร์พื้นฐานอย่าง Moving Average และ RSI เป็นตัวช่วยในการวิเคราะห์
  1. การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
  • เป็นการวิเคราะห์ปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อความเคลื่อนไหวของค่าเงิน เช่น เศรษฐกิจ การเมือง สังคม
  • เชื่อว่าเศรษฐกิจและข่าวสารเป็นตัวขับเคลื่อนค่าเงินในระยะยาว
  • ติดตามตัวเลขทางเศรษฐกิจสำคัญ ๆ เช่น GDP, อัตราเงินเฟ้อ, อัตราการว่างงาน รวมถึงการประกาศนโยบายทางการเงินของธนาคารกลาง
  • เหมาะกับการเทรดระยะกลางถึงระยะยาว โดยอาจจับคู่เงินของประเทศที่เศรษฐกิจแข็งแกร่งกับประเทศที่อ่อนแอกว่า

พื้นฐานปัจจัยที่ควรติดตาม ได้แก่

  • ปฏิทินเศรษฐกิจ (Economic Calendar) ที่รวบรวมเวลาการประกาศตัวเลขที่สำคัญ
  • รายงานอัตราดอกเบี้ยและนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางหลัก ๆ
  • ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจและผู้บริโภคของแต่ละประเทศ
  • ข่าวการเมืองหรือเหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่อาจส่งผลต่อความผันผวนของค่าเงิน

หลาย ๆ คนอาจมองว่าต้องเลือกใช้แค่วิธีใดวิธีหนึ่ง แต่จริง ๆ แล้วเราสามารถใช้ทั้งสองวิธีร่วมกันได้ เรียกว่า Confluence คือการอ่านกราฟควบคู่ไปกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เพื่อหาจังหวะที่สัญญาณทั้งสองด้านสอดคล้องกัน แบบนี้จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการเทรดได้มากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ เทคนิคไม่ใช่วิชาเอกพิชิตใจตลาด เพราะตลาดมีความซับซ้อนและผันผวนเสมอ บางครั้งลางสังหรณ์หรือประสบการณ์ที่สั่งสมมาก็มีส่วนสำคัญไม่น้อย ดังนั้นเราจึงไม่จำเป็นต้องรอให้เทคนิคแม่นยำ 100% แต่ให้ถือเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การตัดสินใจง่ายขึ้น และที่สำคัญ อย่าลืมบริหารความเสี่ยงควบคู่ไปด้วยเสมอ เมื่อนั้นถึงจะเรียกได้ว่าเราพร้อมลุยในตลาดอย่างมั่นใจและปลอดภัย

ฝึกฝนบนบัญชีเดโม่ก่อนเทรดจริง

ไม่ว่าจะเป็นนักกีฬา, ศิลปิน หรือแม้แต่นักเทรดอย่างเรา ก็ล้วนต้องผ่านการฝึกซ้อมมาอย่างหนักก่อนจะขึ้นสู่เวทีจริงทั้งนั้น การเทรด Forex ก็เช่นกัน เราไม่ควรลงสนามจริงทันทีโดยไม่มีประสบการณ์ติดตัว เพราะอาจทำให้เราต้องเจ็บตัวโดยใช่เหตุ

นั่นจึงเป็นที่มาของ “บัญชีเดโม่” (Demo Account) ซึ่งเป็นบัญชีจำลองที่ให้เราสามารถเทรดด้วยเงินเสมือนจริง ในสภาพแวดล้อมการเทรดเหมือนจริงทุกประการ แต่ไม่มีความเสี่ยงใด ๆ เพราะไม่ได้ใช้เงินจริงของเรานั่นเอง มาดูกันว่าเราจะใช้ประโยชน์จากมันในการฝึกฝนได้อย่างไรบ้าง

  1. เรียนรู้วิธีใช้แพลตฟอร์มเทรด
  • ทดลองเปิด-ปิดออเดอร์ ตั้งค่า Stop Loss และ Take Profit
  • ลองปรับแต่งหน้าตาของกราฟ เพิ่มลดอินดิเคเตอร์ต่าง ๆ
  • ทำความคุ้นเคยกับเมนูและฟีเจอร์ต่าง ๆ บนแพลตฟอร์ม
  • ทดสอบความเสถียรของแพลตฟอร์มและความเร็วในการประมวลผล
  1. ทดสอบระบบเทรดของเรา
  • ลองนำระบบหรือกลยุทธ์ที่เราสร้างขึ้นมาใช้เทรดจริง ๆ
  • ดูว่ากฎการเข้าเทรดและออกเทรดของเรานั้นได้ผลในทางปฏิบัติหรือไม่
  • พิจารณาว่าอัตราความเสี่ยงต่อผลตอบแทนของระบบเรายอมรับได้ไหม
  • ค่อย ๆ ปรับแต่ง เพิ่มเติม และพัฒนาระบบไปเรื่อย ๆ
  1. สร้างวินัยและจิตวิทยาการเทรดที่ดี
  • ฝึกทำตามกฎของระบบอย่างเคร่งครัด ไม่ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ
  • เทรดในปริมาณที่พอดี ไม่โลภมากจนเกินความสามารถในการจัดการ
  • จดบันทึกการเทรด และทบทวนผลงานของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ
  • เรียนรู้ที่จะยอมรับความผิดพลาด และก้าวต่อไปอย่างมีสติ
  1. สะสมชั่วโมงบินให้มากพอ
  • อย่าใจร้อนที่จะเทรดเงินจริง ให้ฝึกบนบัญชีเดโม่จนกว่าจะมั่นใจและสม่ำเสมอ
  • ตั้งเป้าผลกำไรในบัญชีเดโม่ เช่น ทำกำไรได้ 10% ติดต่อกัน 3 เดือน ค่อยลงเทรดเงินจริง
  • แม้จะเทรดเงินจริงแล้ว ก็ยังควรแบ่งเวลามาฝึกในบัญชีเดโม่ต่อไป เพื่อทดสอบระบบใหม่ ๆ เรื่อย ๆ
  • อย่าคิดว่าการเทรดบนบัญชีเดโม่เป็นเรื่องเสียเวลา เชื่อเถอะว่ามันจะทำให้การเทรดจริงของเรามีคุณภาพมากขึ้น

แต่ก็อย่าลืมว่าบัญชีเดโม่ก็มีข้อจำกัดอยู่บ้าง เช่น ตลาดในบัญชีเดโม่อาจไม่ผันผวนเท่าตลาดจริง รเทรดเสมือนจริงทำให้เรายังไม่เห็นผลกระทบทางอารมณ์เท่าเทรดเงินจริง และเมื่อเราเทรดได้ดีบนบัญชีเดโม่ อาจทำให้เรามั่นใจมากเกินไปจนลืมบริหารความเสี่ยงในบัญชีจริง

ดังนั้น จงใช้บัญชีเดโม่ให้เป็นเหมือนสนามฝึกซ้อม แต่อย่าลืมว่าเกมการแข่งขันที่แท้จริงยังรออยู่ข้างหน้า เราต้องฝึกฝนอย่างหนัก แต่ก็ต้องรู้จักปรับตัวและพัฒนาอยู่เสมอ เพียงเท่านี้ไม่ช้าไม่นานความสำเร็จก็จะเป็นของเราอย่างแน่นอน อดทนไว้ และมุ่งมั่นต่อไปนะ!

!

สรุป 5 หลักการของ Forex

  1. Japanese Candlestick และรูปแบบกราฟที่ต้องรู้ – ให้ข้อมูลราคาอย่างละเอียด บอกแนวโน้มและจังหวะกลับตัวของราคาได้ดี
  2. Moving Averages – ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ที่ใช้หาทิศทางตลาด สัญญาณซื้อขายที่นิยมคือ Golden Cross และ Death Cross
  3. RSI – อินดิเคเตอร์ที่บอกภาวะ Overbought/Oversold ของราคา ช่วยหาจุดกลับตัวจากการวาดเส้นแนวโน้ม
  4. Stochastic – คล้าย RSI แต่ใช้จุดตัดของเส้น %K และ %D เป็นสัญญาณซื้อขายเพิ่มเติม
  5. Bollinger Bands – แถบที่วัดความผันผวนของราคา ราคาที่สะท้อนกลับจากเส้นบน-ล่างมักเป็นสัญญาณกลับตัว

ทั้ง 5 เครื่องมือนี้ เมื่อใช้ผสมผสานกันอย่างเหมาะสม พร้อมกับวิจารณญาณและวินัยในการเทรดที่ดี จะช่วยให้เรามองเห็นสัญญาณซื้อขายที่ชัดเจนและแม่นยำมากขึ้น นำไปสู่การเป็นเทรดเดอร์มืออาชีพในที่สุด อย่าลืมฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ และมีความอดทน ความสำเร็จในตลาด Forex จะเป็นของเราแน่นอน

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักการของ Forex

กลับหน้าแรก